วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560

พระราชสมภพ

ในหลวงรัชกาลที่10, สมเด็จพระบรมฯ
พระนามเต็ม รัชกาลที่ 10 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
พระนามเดิมของพระองค์ เดิมว่า สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรง สุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร ซึ่งเป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ เมื่อเวลา ๑๗ นาฬิกา ๔๕ นาที ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
1
ธุรกิจโฆษณา

การศึกษา

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงได้รับการศึกษาระดับอนุบาลศึกษาที่พระที่นั่งอุดร พระราชวังดุสิต และทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนจิตรลดา ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๙๙ –๒๕๐๕ ที่ประเทศอังกฤษระหว่างพุทธศักราช ๒๕๐๙ – ๒๕๑๓
หลังจากนั้นได้ทรงศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์ นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย แล้วเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต (การศึกษาด้านทหาร) คณะการศึกษาด้านทหาร จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลล์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙
ในหลวงรัชกาลที่10, สมเด็จพระบรมฯ
นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกหลักสูตรประจำชุดที่ ๕-๖ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๐ – ๒๕๒๑ และทรงได้รับปริญญานิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ ครั้นถึง พ.ศ.๒๕๓๓ ทรงได้รับการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรแห่งสหราชอาณาจักรด้วย
เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ปวงชนชาวไทยต่างมีความปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการประกาศสถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร มีพระนามาภิไธย ตามจารึกพระสุพรรณบัฏว่า
ในหลวงรัชกาลที่10, สมเด็จพระบรมฯ
“สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิติยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธ สยามมกุฎราชกุมาร”
ในมงคลวาระนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณในการพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งแสดงถึงน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงมุ่งมั่นจะบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ เพื่อชาติบ้านเมือง และประชาชนชาวไทย เป็นที่ซาบซึ้งประทับใจพสกนิกรอย่างยิ่ง ดังความว่า
ในหลวงรัชกาลที่10, สมเด็จพระบรมฯ
“ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฏิญาณสาบานต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยเฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เฉพาะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรท่ามกลางสันนิบาตนี้ว่า
ข้าพเจ้าผู้เป็น สยามมกุฎราชกุมาร จะรักษาเกียรติยศและอริยศักดิ์ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานไว้ด้วยชีวิต จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชน จะปฏิบัติภาระหน้าที่ทุกอย่าง โดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญสงบสุขและความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศไทย จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่”
ในหลวงรัชกาลที่10, สมเด็จพระบรมฯ
http://www.coj.go.th/day/pbr/pbr.html
เนื้อหานี้ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น

จาก ‘บิ๊กแจ๊ด’ ถึง ‘รองอธิบดีกรมทรัพย์สินฯ’ ข้าราชการไทยทำผิดถูกจับในญี่ปุ่น

ย้อนคดีเก่าจาก ‘บิ๊กแจ๊ด’ ถึงคิว ‘รองอธิบดีกรมทรัพย์สินฯ’ บิ๊กข้าราชการไทยถูกจับทำผิดกฎหมายญี่ปุ่น 
หลังจากที่ตลอดทั้งวันของวันนี้ (25 ม.ค. 60) ผู้คนจำนวนมากต่างให้ความสนใจกับเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจของญี่ปุ่นเข้าจับกุมตัวรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทยในข้อหาลักทรัพย์ หลังจากข้าราชการระดับสูงคนดังกล่าวได้ขโมยภาพวาดในโรงแรมที่พักกลับมาด้วย
ข่าวญี่ปุ่น, สุภัฒ สงวนดีกุล, บิ๊กแจ๊ด,
การจับกุมข้าราชการไทยของเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นในครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกเพราะเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ปี 2558 อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นามว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง หรือที่รู้จักกันในนาม บิ๊กแจ๊ด  ก็ถูกตำรวจญี่ปุ่นเข้าจับกุมตัวเช่นกัน หลังมีการตรวจพบว่าอดีตนายตำรวจคนดังมีการพกอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนไว้ในตัว ขณะกำลังขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับประเทศไทย จากการที่เขาและคณะได้เดินทางไปดูงานที่ญี่ปุ่น
ทำให้ บิ๊กแจ๊ด ต้องถูกกักตัวอยู่ในเรือนจำที่ญี่ปุ่นนานหลายสัปดาห์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบถึงที่มาที่ไปก่อนส่งเรื่องให้อัยการฟ้องร้องดำเนินคดี เพราะที่ญี่ปุ่นถือว่าการพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตเข้าประเทศถือว่ามีโทษรุนแรง โดยมีโทษจำคุก 1-10 ปี และโทษการครอบครองกระสุนปืนคือ จำคุก 1-5 ปี หรือปรับ 1 ล้านเยน ประมาณ 273,000 บาท
แต่กระนั้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นความโชคดี ในเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เพราะอัยการญี่ปุ่นไม่ได้มีการสั่งฟ้องดำเนินคดีกับอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลแต่อย่างใด ส่วนจะเป็นเพราะเหตุผลใดไม่มีใครทราบ เนื่องจากอัยการญี่ปุ่นไม่ได้ลงรายละเอียด แต่ก็มีเสียงเล็ดลอดออกมาว่า เป็นเพราะการประสานงานระหว่างประเทศ จึงทำให้บิ๊กแจ๊ดเป็นอิสระไม่ถูกจับติดคุกญี่ปุ่น ก่อนจะบินกลับไทยโดยสวสัดิภาพในเวลา 14.00 น. ของวันอังคารที่ 14 ก.ค. ในปีเดียวกัน
ส่วน รองอธิบดีกรมทรัพย์สินฯ จะมีเทพีแห่งโชคเข้าข้างเหมือน บิ๊กแจ๊ด บ้างหรือไม่ ต้องติดตาม แต่ที่แน่ๆ คงถูกขังอยู่ในเรือนจำญี่ปุ่นไม่น้อยกว่า 2-3 อาทิตย์ เพราะต้องใช้เวลาประมาณ 45 วัน เพื่อรออัยการยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลต่อไป  เพราะสถานเอกอัครราชทูตไทย ในกรุงโตเกียว ได้ออกโรงเตือนย้ำหนักย้ำหนาอยู่เสมอว่า การลักทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่นถือเป็นคดีรุนแรง ผู้ต้องหาจะถูกดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น